งานวิจัย นวัตกรรมสังคมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทย

โดย ดร.สุนทร คุณชัยมัง และ ดร.ธัชกร ธิติลักษณ์

by sirdi
0 comment

บทคัดย่อ

          การศึกษาเรื่องนวัตกรรมสังคมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทย เป็นการศึกษาปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างความสำเร็จ กลไกและกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมสังคมขององค์กรชุมชนและกิจการธุรกิจ จำนวน 101 องค์กร เพื่อค้นหาตัวแบบของนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ชุมชนตามแนวทางของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง การศึกษาพบว่า ปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างความสำเร็จขององค์กรชุมชน คือการสร้างความสามารถจัดการตนเองที่บวกรวมเข้ากับทุนทางสังคม และบวกรวมกับการจัดการธุรกิจ โดยมีวิสาหกิจชุมชนเป็นกลไกที่โดดเด่น ในขณะที่ปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างความสำเร็จของกิจการธุรกิจ คือกรอบธุรกิจที่รวมประเด็นทางสังคมไว้ โดยมี Social enterprise เป็นกลไกที่โดดเด่น องค์กรชุมชน สร้างนวัตกรรมสังคมตามกระบวนการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบตลาด ในขณะที่กิจการธุรกิจก็สร้างขึ้นตามกรอบที่ขยายออกไป ปัจจุบัน มีการริเริ่มขยายผลความสำเร็จแล้วทั้งองค์กรชุมชนและกิจการธุรกิจ อันเป็นการแสดงถึงเศรษฐกิจที่สร้างขึ้นใหม่และขับเคลื่อนจากพื้นที่ฐานรากและไปร่วมสร้างคุณค่าร่วมกับเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนจากศูนย์กลาง

คำสำคัญ: นวัตกรรมสังคม การขับเคลื่อนทุนทางสังคม การสร้างสรรค์นวัตกรรมสังคม เศรษฐกิจฐานราก

ที่มาและความสำคัญของการวิจัย

          บทความนี้ พัฒนามาจากงานวิจัยเรื่องปัจจัยและกลไกการสร้างสรรค์นวัตกรรมสังคมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทยเพื่อค้นหาทางเลือกใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนหรือเศรษฐกิจฐานรากที่ไม่รอผลพวงจากการพัฒนาจากส่วนกลางตามแนวทางของ “เศรษฐกิจแบบไหลริน” (Trickle-Down Economy) ที่ยึดโยงกับมายาคติของการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของการผลิตในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) แต่มองข้ามปัญหาการจ้างงาน การกระจายตัว และความยากจนที่ทวีความรุนแรงไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ (Arndt, 1983) อันเป็นการค้นหา “ความใหม่” (Newness) ตามนัยของทฤษฎีว่าด้วยนวัตกรรมสังคมที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับชุมชนหรือฐานราก ความเท่าเทียมในระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสามารถตามวิถีของการประกอบการ ทั้งนี้ก็เพราะผลของการดำเนินงานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2504 มาจนถึงปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เน้นการส่งออก และการลงทุนเมืองใหญ่เป็นหลัก แม้ว่าจะมีการมุ่งเน้นให้มีการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคและชนบท ตลอดจนมุ่งแก้ปัญหาความยากจนก็ตาม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามแนวทางดังกล่าวก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนซ้ำชากในภูมิภาคลงไปได้ ดังปรากฎตามรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยปี 2565 พบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 10 อันดับแรกคือ แม่ฮ่องสอน ปัตตานี ตาก นราธิวาส กาฬสินธุ์ หนองบัวลำภู ยะลา ศรีสะเกษ ชัยนาท และ ระนอง ในจังหวัดที่มีคนจนสูงสุดนี้ เป็นสถานการณ์ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเผชิญต่อเนื่องกันมานานถึง 19 ปี ในขณะเดียวกัน แม่ฮ่องสอน นราธิวาส กาฬสินธุ์ ปัตตานี ตาก และศรีสะเกษ ก็ยังเป็นจังหวัดที่มีความยากจนสูงที่สุดอีกด้วยนอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุว่าประเทศไทยมีจำนวนคนจนทั้งสิ้น 3.80 ล้านคน หากพิจารณาตามจำนวนครัวเรือน จะมีครัวเรือนยากจนทั้งสิ้น 1.12 ล้านครัวเรือน คิดเป็น ร้อยละ 4.14 ของครัวเรือนทั้งหมด โดย 1 ใน 3 อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือภาคเหนือ(สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2565)  จากสถานการณ์ข้างต้น ย่อมเป็นข้อมูลที่ประจักษ์ได้ว่า แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรม และเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และบางส่วนของภาคตะวันออก ไม่สามารถรองรับต่อการแก้ปัญหาความยากจนและคนจน ทั้งตามพื้นที่ของภูมิภาค 10 จังหวัดข้างต้น และประชาชน 1 ใน 3 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ

          การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชุมชน และชนบท เพื่อมุ่งต่อการแก้ปัญหาของชุมชน เช่น Shakti Project ของ Unilever ที่แก้ปัญหาทั้งการขยายตลาดไปสู่ชนบทของบริษัทและสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับสตรีในชนบทของอินเดีย (Prahalad, 2014)Grameen Bank ที่ริเริ่มจากการรวมกลุ่มประชาชนขนาดเล็ก 3-5 คนในภาคชนบทเพื่อสร้าง Micro-credit ให้เข้าบริการทางการเงินรายย่อยแบบ Micro-finance เพื่อนำไปสู่การประกอบการ(รวมทั้งการขยายกิจการสร้างความร่วมมือกับธุรกิจเอกชนเพื่อดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมแบบ Social Business จนนำไปสู่การยอมรับได้ว่าเป็นกลไกที่สามารถแก้ปัญหาความยากจนของบังคลาเทศ(Yunus & Weber, 2007) และ Hello Tractor ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่เป็นธุรกิจสตาร์ทอัพที่ให้บริการรถแทรกเตอร์สำหรับเกษตรรายย่อยของไนจีเรีย ที่ไม่เคยเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อการเหล่านี้มาก่อน ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งการเพิ่มผลิตภาพของการผลิตทางเศรษฐกิจของเกษตรกร สร้างรายได้เพิ่มสำหรับเจ้าของรถแทรกเตอร์ และเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จจนขยายตัวไปอีก 17 ประเทศทั้งในแอฟริกาและเอเชีย (ลงทุนแมน, 2564; Fortune, 2021; Shrader, 2020 and Tong, 2020) กิจการธุรกิจเหล่านี้ เป็นการดำเนินงานของธุรกิจที่มีส่วนต่อการแก้ปัญหาของชุมชนและชนบท เช่น Unilever เป็นการรวมกลุ่มเพื่อจัดการตนเองของชุมชนและสร้างความร่วมมือกับธุรกิจเอกชน เช่น Grameen Bank-Social Business และการสร้างสตาร์ทอัพที่รองรับต่อการแก้ปัญหาผลิตภาพของเกษตรกรรายยย่อย และการสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจของภาคชนบท และท้องถิ่นภูมิภาค รวมทั้งยกระดับการบริหารจัดการใหม่ อันเป็นการสร้างความใหม่เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาของสังคมด้วยแบบแผนและวิถีแบบประกอบการ หรือที่เรียกกันว่า Social innovation as entrepreneurship

          การศึกษานี้ จึงได้ศึกษาผลการประกอบการธุรกิจประเภทต่าง ๆ ในระดับชุมชนจำนวน 101 กรณี โดยแบ่งเป็น “องค์กรชุมชน” (Community-Based Organizations: CBOs) ที่ริเริ่มประกอบกิจกรรมทางธุรกิจ 55 องค์กร และ “องค์กรธุรกิจ” (Business Organizations) ที่เชื่อมโยงกิจกรรม/กิจการกับการแก้ปัญหาของชุมชน 46 องค์กร โดยต้องการค้นหาแนวทางของการพัฒนาที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากผลความสำเร็จของศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจที่ไหลรินยังภูมิภาคและชนบท แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากศักยภาพและความสามารถของชุมชนฐานราก และท้องถิ่นเป็นด้านหลัก รวมทั้งเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาแบบทางเลือก (Alternative ways)

อ่านต่อ

 

 

Related Posts

Leave a Comment